เรื่องเด่น แรงอาฆาต คือต้นเหตุสำคัญแห่งการผูกเวร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 14 มีนาคม 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    FB_IMG_1489471470089.jpg

    แรงอาฆาต คือต้นเหตุสำคัญแห่งการผูกเวร

    ไม่มีใครอยากมีเวรต่อกัน เพราะหากมีแล้วต้องตามชดใช้กันหรือไม่ก็ต้องตามไปเจอกัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง

    ต้นเหตุแห่งการผุกเวรกรรมต่อกันนั้นก็คือ "แรงอาฆาต" ที่มีต่อกันนั่นเอง ไม่วาจะจากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย ทำให้ต้องตามจองเวรกัน กระทำต่อกัน

    แต่หากให้อภัยกันได้ก็จะเป็นการคลายปมที่ผูกกันไว้ให้หลุดออกจากกัน

    พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงการผูกเวรกันกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน ก็เพราะมีสาเหตุแห่งแรงอาฆาตเป็นสำคัญ

    โดยทรงตรัสเล่าเรื่องราวของนางยักษิณีและนางกุลธิดาผู้ซึ่งตามอาฆาตจองเวรกันแบบข้ามภพข้ามชาติจึงต้องมีเหตุให้สร้างเวรสร้างกรรมต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ว่า

    มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่งเมื่อบิดาตายแล้ว เขาก็ได้ทำการงานทุกอย่างสร้างฐานะความเป็นอยู่ด้วยตนเองและต้องปฏิบัติดูแลมารดาอย่างดีที่สุดโดยตั้งใจว่าจะเลี้ยงดูแม่ไปจนตลอดชีวิตโดยไม่แต่งงาน
    แม่ก็นึกสงสารบุตรชายที่ต้องทำงานหนักคนเดียว จึงคิดจะหาภรรยามาให้เพื่อช่วยงานบ้าน จึงได้ไปสู่ขอหญิงสาวในตระกูลหนึ่งที่บุตรชายชอบพออยู่มาให้คนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าเธอคนนี้เป็นหมันไม่สามารถมีลูกให้ได้

    แม่จึงบอกกับลูกชายว่า “เรือนไหนที่ไม่มีบุตรสืบสกุลย่อมมีความฉิบหาย ประเพณีก็ไม่สืบต่อ” แม่จึงคิดจะหาหญิงอื่นที่สามารถมีลูกได้มาให้อีก ซึ่งลูกชายก็ได้แต่ห้ามแม่ไว้เพราะสงสารภรรยา ฝ่ายภรรยาผู้เป็นหมันเมื่อได้ทราบเรื่องนี้แล้วก็คิดว่า

    “ถ้าแม่สามีนำหญิงอื่นที่ไม่เป็นหมันมา ก็คงจักใช้เราอย่างทาสีเป็นแน่”

    แม่ของลูกชายได้ไปยังตระกูลหนึ่งแล้วทำการสู่ขอหญิงสาวเพื่อสามีตนด้วยการบอกฝ่ายหญิงให้ยินยอมว่า “ถ้าบุตรีของท่านให้กำเนิดบุตรก็จักได้เป็นเจ้าของทรัพย์” ซึ่งครอบครัวของหญิงสาวผู้นั้นก็ยินยอมเพราะเห็นว่าบุตรชายของเธอเป็นคนดีมีศีลธรรมขยันทำมาหากิน

    ฝ่ายภรรยาคนแรกก็ได้เกิดความวิตกมากขึ้นว่า “ถ้าภรรยาใหม่คนนี้ได้บุตรหรือบุตรีแล้ว ก็จะเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว เราต้องหาวิธีทำให้นางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรให้จงได้”

    ภรรยาหลวงจึงพูดภรรยาคนที่สองว่า

    “น้องรักหากเธอตั้งครรภ์เมื่อใด ขอให้บอกพี่ พี่จะปรุงอาหารบำรุง
    ครรภ์ให้เธอเอง”

    ซึ่งต่อมาเมื่อรู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว ภรรยาหลวงจึงได้แอบใส่ยาทำลายครรภ์ปนกับอาหารให้แก่เธอโดยโกหกว่าเป็นยาบำรุงครรภ์ เมื่อนางได้รับประทานอาหารไปก็ทำให้ครรภ์แท้งโดยต้องเป็นอย่างนี้ถึงสองครั้ง

    เพื่อนๆ ของนางต่างก็สงสัยว่าทำไมเธอผู้นี้จึงตั้งครรภ์แล้วแท้งติดต่อกันเพราะว่าเธอปกติเป็นคนแข็งแรงดีจึงพากันมาถามว่า

    “หญิงร่วมสามีได้ทำอันตรายเธอบ้างหรือไม่” นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง หญิงผู้เป็นเพื่อนเหล่านั้นจึงบอกว่า “แย่แล้ว เธอถูกเมียหลวงนั้นหลอกให้กินยาทำลายครรภ์ เพราะกลัวเธอจะเป็นใหญ่ในเรือนนี้แน่นอน”

    ครั้งที่สามเมื่อนางตั้งครรภ์อีกจึงไม่ยอมปริปาก ภรรยาหลวงเห็นท้องของนางตั้งครรภ์อีกครั้งแล้วจึงกล่าวว่า “เธอตั้งครรภ์ ทำไมไม่บอกฉัน”

    เธอจึงกล่าวด้วยความแค้นว่า “เธอทำให้ครรภ์ฉันแท้งถึงสองครั้ง แล้วฉันจะบอกเธอทำไม”

    ภรรยาหลวงทราบว่าภรรยาคนที่สองรู้ทันแล้วจะต้องหาทางกำจัดนางและลูกให้ได้ แต่ก็ไม่ได้โอกาสเสียที จนกระทั่งภรรยาคนที่สองมีครรภ์แก่เต็มที่จึงสบโอกาสใส่ยาให้นางกินอีก ทำให้นางได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าจนถึงแก่ชีวิต

    ก่อนตายเธอจึงได้ตั้งความปรารถนาว่า “เธอทำลายเราพร้อมด้วยทารกถึงสามคน เมื่อเราตายจากอัตภาพนี้ ขอให้พึงเกิดเป็นนางยักษิณีสามารถเคี้ยวกินทารกของมันได้ด้วยเถิด”

    เมื่อเธอตายไปจึงได้ไปเกิดเป็นแม่แมวในเรือนนั้นเองเพราะแรงอาฆาต ฝ่ายสามีเมื่อรู้ความจริงจึงได้ทุบตีภรรยาผู้เป็นหมันด้วยหมัด เท้า เข่า ศอกอย่างทารุณจนกระทั่งภรรยาผู้เป็นหมันตายไปด้วยความเจ็บปวดบอบซ้ำ แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเช่นเดียวกัน

    ด้วยอำนาจความโกรธที่ผูกไว้ จึงทำให้ภรรยาหลวงและภรรยาคนที่สองต้องผลัดจองเวรกันถึงสาม ชาติ คือ เมียภรรยาคนที่สองจองเวรภรรยาหลวงก่อน ครั้นตายไปก็เกิดเป็นแม่แมว ส่วนภรรยาหลวง ครั้นตายไปก็เกิดเป็นแม่ไก่

    เมื่อแม่ไก่ไข่ออกมาแม่แมวก็ไปขโมยกินไข่เสียหมดถึงสามครอก ต่อมาแม่ไก่ก็จองเวรแม่แมวต่อ เมื่อตายไปจากความเป็นแม่ไก่แล้วก็ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง ส่วนแม่แมว ครั้นตายไปก็เกิดเป็นแม่เนื้อทรายตัวหนึ่ง

    แม่เนื้อทรายคลอดลูกออกมา แม่เสือเหลืองก็จับลูกแม่เนื้อทรายกินเสียสามครั้ง ต่อมา แม่เนื้อทรายก็ทำการจองเวรแม่เสือเหลืองอีก ครั้นตายไปคราวนี้เธอได้ไปเกิดเป็นนางยักษิณี ส่วนแม่เสือเหลือง ครั้นตายไปก็เกิดเป็นนางกุลธิดาคือหญิงสาวมีตระกูลคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี

    เมื่อนางกุลธิดาโตเป็นสาวก็ได้แต่งงานไปอยู่กับตระกูลสามี ต่อมาเธอก็ได้คลอดบุตรคนหนึ่ง ส่วนนางยักษิณีด้วยที่ยังมีแรงอาฆาตอยู่ ก็เลยจำแลงเป็นเพื่อนหญิงที่รักของนางกุลธิดา ทำทีเข้าไปเยี่ยมแล้วทำการจับทารกกินแล้วหนีไปโดยทำอย่างนี้ถึงสองครั้ง

    ในครั้งที่สามนางกุลธิดาซึ่งมีครรภ์แก่แล้ว จึงเล่าเรื่องของนางยักษิณีแก่สามีแล้วชวนกันไปคลอดบุตรที่บ้านเกิดจะเป็นการดีกว่า

    ส่วนนางยักษิณีรู้แล้วก็คิดว่า “เธอไปไหนเราจะตามไป เธอไม่รอดพ้นจากเราไปได้แน่นอน”

    นางยักษิณีได้พบนางกุลธิดาซึ่งกำลังยืนให้บุตรดื่มนม ขณะคอยสามีที่กำลังอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหารพระเชตวันอันเป็นที่ประทับของพระศาสดา เมื่อนางกุลธิดาเห็นก็จำได้ว่าเป็นนางยักษิณีตามมาจะกินลูกของเธอจึงรีบอุ้มบุตรรีบวิ่งเข้าไปในวิหารทันที

    ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางมหาชน นางกุลธิดาให้บุตรของตนเองนอนลงด้านหลังพระบาทของพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า

    “ข้าพระองค์ขอถวายบุตรคนนี้แด่พระพุทธองค์ ขอได้โปรดประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด”

    ขณะนั้นนางยักษิณีซึ่งยืนอยู่ที่ซุ้มประตูวัด พระพุทธองค์ทราบในจุดประสงค์จึงตรัสเรียกให้เข้ามาในวิหาร แล้วตรัสว่า

    “ดูกร ถ้าหากเธอทั้งสองไม่มาสู่เฉพาะหน้า ตถาคตแล้ว เวรของพวกเธอจักเป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูเห่ากับพังพอน เหมือนเวรของหมีกับไม้สะคร้อ และเวรของกากับนกเค้า เหตุไฉนพวกเธอจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน เพราะว่าเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยความจองเวรไม่”

    นางยักษิณีเมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจบก็คลายความเห็นผิดเลิกจองเวร บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระศาสดาจึงได้รับสั่งให้นางกุลธิดาพานางยักษิณีไปอยู่ด้วยแล้วให้บำรุงด้วยข้าวต้มและข้าวสวย นางก็ทำตามทุกประการ ทำให้นางยักษิณีสำนึกในอุปการะนั้น จึงคิดตอบแทนนางกุลธิดาด้วยการบอกถึงเรื่องปริมาณฝนในแต่ละปีว่าจะมีมากหรือน้อยเพื่อให้เป็นประโยชน์ในฤดูการทำนา ทำให้ข้าวกล้าของนางสมบูรณ์กว่าใครๆ

    พวกชาวบ้านเห็นว่าข้าวกล้าของนางกุลธิดาไม่เสียหายด้วยน้ำมากหรือน้อยเลยเพราะรู้วิธีทำนาอย่างชาญฉลาดจึงได้ไปถามนาง เมื่อทราบความนั้นแล้วจึงได้พากันนำข้าวและน้ำไปสักการะนางยักษิณีเพื่อขอความช่วยเหลือ ต่อมา ข้าวกล้าของพวกเขาได้ผลเป็นเลิศเช่นกันเพราะอาศัยนางยักษิณีนั้นเอง

    นางยักษิณีและนางกุลธิดาได้ทำการให้อภัยซึ่งกันและกันจากกรรมที่คอยก่อกันมาในอดีตชาติถึงสามภพชาติ เมื่อได้ให้อภัยต่อกันแล้วจึงได้หมดเวรหมดกรรมและสิ้นความเป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกันไป

    เราทุกคนล้วนมีเจ้ากรรมนายเวรตามอยู่กันทั้งนั้น จงหมั่นสวดมนต์ภาวนาและหมั่นให้อภัยต่อทุกๆ สิ่งทีเ่กิดขึ้นรอบข้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องผูกเวรกับใครอีกต่อไปในชาติภพนี้ และกระทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวงได้

    บุญง่ายๆ ที่เราสร้างเองได้ก็คือ "อภัยทาน" นั่นเอง

    ***********

    สนพ.เสบียงบุญ
     
  2. pui2505

    pui2505 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +43
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...