เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงวันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพได้รับคำถามจำนวนมาก จากผู้ที่จะเดินทางไปร่วมฉลองหลวงพ่อโต วัดศรีธรรโมทยะ เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา ขอสรุปลงมาเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้

    ประเด็นแรกก็คือ "กระผม/อาตมภาพจะเดินทางไปในงานของปีหน้านี้ด้วยหรือไม่ ?" ขอตอบอย่างชัดเจนตรงนี้ว่า
    ไม่คิดที่จะเดินทางไปเลยแม้แต่นิดเดียว เหตุเพราะว่างานที่ตั้งใจทำนั้นสำเร็จเรียบร้อยลงแล้ว และประการต่อไปก็คือ เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย รู้สึกว่าสังขารเหมือนจะหลุดเป็นชิ้น ๆ

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าประการแรก
    กระผม/อาตมภาพอายุกาลผ่านวัยมา ๖๕ ปีเต็ม ย่างเข้าสู่ ๖๖ ปีมาหลายเดือนแล้ว ร่างกายย่อมชำรุดทรุดโทรมไปตามสภาพของชายชราอายุเลยวัยเกษียณแบบนี้เป็นปกติ แม้ว่าญาติโยมจะเห็นว่าหลวงพ่อแข็งแรงมาก หลวงพ่อเดินขึ้นสีหคีรีไปชมพระราชวังลอยฟ้าแบบ "ชิล ๆ" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้มในใจ เพราะว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอก ที่ร่างกายโดนบังคับไปด้วยกำลังใจเท่านั้น พอเลิกบังคับ ร่างกายก็ทำท่าจะพับลงไปแล้ว..!

    ขนาดลูกอ้วน (นางสาวภัทรวรรณ จะหวะ) ซึ่งเดินทางไปด้วยกันและเป็นคนที่แข็งแรงมาก เมื่อกลับถึงทองผาภูมิ กระทบอากาศที่ต่างกันแบบสุดขั้ว เนื่องเพราะว่าทองผาภูมินั้นเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ลูกอ้วนก็ยังมาลาเรียกำเริบ ร่วงไปสองวัน..! กระผม/อาตมภาพกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซึ่งฝ่ายหลังอายุก็ใกล้เกษียณเต็มทีแล้ว ย่อมที่จะต้องร่วงตามไปด้วย คนที่คิดว่าแข็งแรงที่สุดยังไม่ไหว แล้วยังจะให้กระผม/อาตมภาพลากสังขารชราโทรม ๆ นี้ไปอีกหรือ ?

    ประเด็นที่สองก็คือ "ถ้าไปศรีลังกาแล้ว จะทำบุญทำกุศลอะไรถึงจะได้บุญมากที่สุด ?" ถ้าหากว่าท่านมีโอกาสเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว เมืองแคนดี้ก็ดี ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระก็ตาม ให้ไปนั่งภาวนาหรือว่าสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาที่นั่น ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

    เนื่องเพราะว่าต่อให้ท่านขนทองคำไปถวายเป็นพุทธบูชาสักเท่าใดก็ตาม นั่นยังเป็นแค่ทานเท่านั้น ส่วนที่อานิสงส์สูงกว่านั้นก็คือการที่เรารักษาศีลตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้ และภาวนาจนกระทั่งปัญญาเกิด เห็นทุกข์เห็นโทษในการมีร่างกายหรือว่าในการเกิดมาในโลกนี้แล้วสภาพจิตเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปราศจากความคิดที่จะเกิดมาทุกข์ยากแบบนี้อีก ถอนกำลังใจจากการยึดเกาะในร่างกายนี้ก็ดี จากการยึดเกาะในโลกนี้ก็ดี เมื่อถอนขึ้นมาได้มาก เราก็เหลือเวลาในการเกิดมาทุกข์น้อยลงไปมากเท่านั้น ถ้าสามารถถอนออกมาได้จนหมด เราก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่พระนิพพาน

    ดังนั้น..ถ้าจะสร้างบุญสร้างกุศลในศรีลังกา กระผม/อาตมภาพก็ขอถวายคำแนะนำต่อพระภิกษุสามเณรของเรา และแนะนำญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    สำหรับวันนี้ ภารกิจสำคัญไม่ใช่งาน "วันเสาร์ใส่บาตรตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน" เนื่องเพราะว่านั่นเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น แต่กระนั้นก็ต้องใช้คำพูดแบบค่อนข้างจะดุ เพื่อตักเตือนให้บรรดา "มเหสักโข" ทั้งหลาย ที่ยิ่งใหญ่จนเคยตัว ให้กรุณาถอดรองเท้าก่อนที่จะใส่บาตรด้วย

    ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยากจะทำบุญกับพระสงฆ์ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย แต่ตนเองกลับไม่มีความเคร่งครัดในการประพฤติปฏิบัติต่อพระสงฆ์เอาเสียเลย ขนาดเตือนครั้งแรกแล้วก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่งมีการเตือนในครั้งที่สอง ต้องบอกว่าท่านให้ลูกน้องทำการถ่ายรูปเอาไว้ ก็เท่ากับว่าท่านกำลังประจานตัวเอง..!

    กระทั่งวัฒนธรรมในการถอดรองเท้าใส่บาตร ที่โบราณเขาแนะนำต่อ ๆ กันมา แสดงให้เห็นซึ่งกำลังใจที่ละเอียด ไม่ต้องการที่จะปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ต้องการที่จะรับโทษเช่นเดียวกับพระเจ้าพิมพิสาร ท่านเองทั้ง ๆ ที่อายุมากขนาดนั้นกลับไม่รู้ หรือว่ารู้ก็ทำเป็นไม่ทราบ เป็นความมักง่ายอย่างเห็นได้ชัด..! เมื่อเขาถ่ายวีดีโอหรือว่าถ่ายรูปไปก็กลายเป็นหลักฐานประจานตนอย่างชัดเจน เมื่อกล่าวถึงขนาดนั้น ท่านทั้งหลายจึงถอดรองเท้าแบบเสียไม่ได้..!

    กระผม/อาตมภาพไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพุทธศาสนิกชนก็ดี ประชาชนคนไทยก็ดี ตั้งข้อเรียกร้องกับพระภิกษุสามเณรเอาไว้สูงมาก แต่ว่าตนเองกลับประพฤติปฏิบัติไปในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าท่านเข้ามาอุปถัมภ์ค้ำจุน ทนุบำรุงพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคอย่างเต็มที่ ถ้าแบบนี้ ท่านถึงจะมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องว่า พระภิกษุสามเณรต้องปฏิบัติแบบนั้น ต้องปฏิบัติแบบนี้

    แต่นี่ท่านเองเข้ามาทำแบบเสียไม่ได้ แค่การใส่บาตรเพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีอาหารไว้ขบฉัน ท่านก็ยังกระทำไปในสภาพที่จิตหยาบถึงขนาดนั้น แล้วคิดว่าลูกของท่าน หลานของท่าน จะมิหยาบหนักขึ้นไปหลายเท่าหรือ ? เนื่องเพราะว่ามีตัวอย่างก็คือพ่อแม่ ปู่ย่าตายายทำให้เห็นแบบนั้น

    หลังจากที่ฉันเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเข้าเยี่ยมห้องอบรมนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกก่อนสอบ ของจังหวัดกาญจนบุรี สนามที่ ๑ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของวันนี้ เมื่อไปถึงก็ได้ช่วยบรรยายถวายความรู้ให้กับท่านที่เข้ารับการอบรมเป็นพิเศษ

    ส่วนนี้บางท่านคิดว่า "ทำไมกระผม/อาตมภาพต้องเดินทางมาด้วย ในเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาก็คือ การเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลแก่ผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้แล้ว ?" ในส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นความคิดและแนวทางปฏิบัติส่วนตัว ก็คือพระวิทยากรก็ดี พระผู้เป็นกองตรวจข้อสอบก็ดี ตลอดจนกระทั่งพระผู้เข้ารับการอบรมนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกก็ดี ย่อมต้องการความใส่ใจจากผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด โดยเฉพาะเจ้าอาวาสของตน

    เนื่องเพราะว่าในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุงนั้น เมื่อรุ่นพี่ท่านถามว่า "จะเรียนนักธรรมหรือไม่ ? จะได้ส่งชื่อให้" กระผม/อาตมภาพก็ไม่คิดที่จะเรียน เนื่องเพราะทราบมาแต่แรกว่า การเรียนนักธรรมนั้น แค่นักธรรมชั้นตรีก็ปฏิเสธการมีของพรหมของเทวดาแล้ว..!

    ตัวอย่างก็คือคำถามที่ว่า "ฆฏิการพรหมเป็นใคร ?" ถ้าเราไปตอบว่า "เป็นท้าวมหาพรหมผู้เลื่อมใสการออกมหาภิเนษกรมณ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงได้นำบริขาร ๘ มาถวาย" ถ้าอย่างนี้เข้าให้ท่านตกเลย..! หากแต่เขาให้ตอบในลักษณะที่ว่า "พรหมเป็นคุณสมบัติของบุคคลผู้ทรงฌานสมาบัติ อาจจะมีศาสดาเจ้าลัทธิใดเจ้าลัทธิหนึ่ง ที่สามารถทรงฌานสมาบัติได้ รู้ถึงการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงได้นำบริขารมาถวาย"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    กระผม/อาตมภาพจึงไม่คิดที่จะเรียน เพราะมั่นอกมั่นใจว่า ผีหรือ พรหม เทวดา นั้นมีจริง พระนิพพานนั้นมีจริง เนื่องเพราะว่าได้รับการฝึกฝนมโนมยิทธิมาตั้งแต่ก่อนอายุจะครบ ๒๐ ปี กว่าที่จะไปบวชตอนอายุ ๒๗ ปีก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก เมื่อมั่นใจขนาดนั้นแล้ว ตอบไปแบบที่ถูกต้องกลายเป็นสอบตก กระผม/อาตมภาพจึงไม่คิดจะสอบ

    แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เมตตาบอกว่า "แกไปสอบเสียหน่อย เพราะว่านักปริยัติเขามักจะมองว่าพระนักปฏิบัตินั้นโง่ เรียนมาน้อย แกไปเรียนให้พวกเขารู้ว่าแกเก่งกว่า..!" กระผม/อาตมภาพจึงต้องไปสอบถามรุ่นพี่ ๆ ที่เรียนผ่านไปแล้วว่า "การเรียนนักธรรมชั้นตรีนั้นต้องใช้หนังสือเล่มไหนบ้าง ? และที่ไหนมีหนังสือให้ขอยืมได้บ้าง ?"

    เมื่อได้รับการแนะนำว่ามีการเรียนวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑ วิชาธรรมวิภาค ๑ วิชาพุทธประวัติและศาสนพิธี ๑ และวิชาพระวินัยบัญญัติ ๑ ก็ไปค้นหนังสือหรือว่าตำราที่ตึกกองทุนชั้นล่าง ซึ่งรุ่นเก่า ๆ ท่านเคยซื้อหาเอาไว้ เอามาอ่านเอง ทำความเข้าใจด้วยตนเอง แล้วแจ้งทางคณะกรรมการสงฆ์ว่า ช่วยส่งรายชื่อเข้าสอบให้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ ครั้นถึงเวลาก็ต้องนั่งรถสองแถวเข้าไปสอบเอง ต้องไปแจ้งเขาว่าอยู่วัดไหน ? ชื่อฉายาว่าอะไร ? ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะว่าไม่ได้รับคำแนะนำอะไรเลย นอกจากเปะปะไต่ถามเขาไปเรื่อย

    เมื่อขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ จึงได้อาสานำรุ่นน้องไปสอบ อาสาให้คำแนะนำรุ่นน้องว่า การสอบนั้นแนวทางการออกข้อสอบมีอย่างไรบ้าง ด้วยความที่ตนเองไม่ได้รับคำแนะนำมา เนื่องเพราะว่าทางวัดท่าซุงนั้นเป็นวัดสายปฏิบัติจริง ๆ ไม่สนใจเรื่องการเรียนเลย แม้แต่หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ในยุคนั้น ท่านก็เรียนจบแค่นักธรรมชั้นโทเท่านั้น..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพที่มีความสงสารรุ่นน้อง ๆ จึงได้นำเขาทั้งหลายเหล่านั้นไปสอบ ให้คำแนะนำว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร มีแนวทางในการทำข้อสอบอย่างไรบ้าง เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาส จึงได้ประพฤติปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ด้วยการไปสนับสนุนให้กำลังใจ ถวายเบี้ยเลี้ยงให้ท่านไว้มีค่าใช้จ่ายในช่วงเข้ารับการอบรม ๑๐ วัน โดยที่ไม่ต้องควักกระเป๋าของตนเอง

    กระผม/อาตมภาพคิดว่า การที่ตนเองกระทำเช่นนี้ อย่างน้อย ๆ พระลูกวัดก็จะได้มีกำลังใจในการสอบ เนื่องเพราะว่าสำนักศาสนศึกษาวัดท่าขนุนแผนกธรรมนั้น ตลอดระยะเวลา ๑๖ ปีที่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสมา แทบจะไม่มีพระภิกษุสามเณรรูปใดสอบตกเลย ยกเว้นบางท่านที่เก่งเกินไปจึงมีการเรียนซ้ำชั้นบ้าง..!

    ส่วนสำนักศาสนศึกษาวัดท่าขนุนแผนกบาลีนั้นก็สร้างชื่อเสียงขึ้นมาเคียงคู่กับสำนักเก่า ๆ อย่างที่เขาเรียกกันติดปากว่า "บาลีต้องวัดเหนือ วัดใต้ วัดทุ่งมะสัง วัดพังตรุ" เหล่านี้เป็นต้น ในเมื่อไม่กี่ปี เราสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเทียบเคียงกับวัดใหญ่ ๆ เขาได้ ท่านทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่า นอกจากความรู้ความสามารถเฉพาะตนของผู้เข้าเรียนแล้ว ผู้เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษาก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ตาม ยังต้องมีแนวทางการประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการส่งเสริมกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย หลายอย่างนี้ต้องมารวมกัน ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...