แนะนำ เปิดเข้าไปอ่านที่พุทโต ชินโต หรือไม่ก็ที่เฟสบุ้คที่ สมาธิพลังมิติแห่งการเคลื่อนไหว เปิดโลกปรมัตถ์เหนือกาลเวลา
ขอบพระคุณทุกท่าน ที่นำข้อมูลต่างๆ เข้ามาแบ่งบันกันคะ ดีใจคะ ที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในเวปนี้ ทำให้ได้รับความอบอุ่นจากทุกๆท่านเป็นอย่างยิ่งคะ จะขออนุญาติเล่าถึงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ดิฉัน ให้ฟังนะคะ ควรหรือไม่ประการใดชี้แนะด้วยคะ ล่าสุดนี้ ดิฉันสวดมตน์ แล้วนั่งสมาธิ ปรากฏว่า จักระ ที่6 หมุน และจักระที่7 ก็หมุน ตอนที่จักระที่7หมุนนั้น ดิฉันรู้สึกโล่งมากเลยคะ หัวเบาสบาย สักพัก ก็เกิดเหมือนมีพลังงาน เป็นก้อน หมุนอยู่ที่ฝามือ มือที่วางทับกันในท่านั่งสมาธิ หมุนอยู่ที่ฝามือชัดเจนมาก หมุนเหมือนจักระเลยคะ หมุนเป็นวงกลม สักพักก็รู้สึก จักระที่1 หมุนเช่นกัน จัดเจนจนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่แล้วพื้นหมุนอะไรแบบนี้คะ ในขณะที่หมุนอยู่ รู้สึกได้เลยคะว่าตรงจุดจักระที่1 นั้นมีอะไรขยับ เหมือนเราขันนอ็ตอะไรแบบนี้คะ รู้สึกตัวเบาดี สักพักก็รับรู้เหมือนมีพลังงาน หรือ คล้ายๆกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้ามาที่ฝาเท้าทั้งสองข้างคะ รู้สึกว่าที่ฝาเท้าก็หมุนนะคะ แล้วมีพลังงานวิ่งเข้ามาที่ฝาเท้า จนรู้สึกชานิดๆ แต่คล้ายๆเหมือนโนไฟดูดนะ แต่รู้สึกเบาๆ อันนี่เอามาเล่าสู่กันฟังคะ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันคะ ดิฉันก็ไม่รู้หรอกว่า เป็นเพราะอะไร แต่มันเกิดเป็นเช่นนี้จริงๆ เลยอยากเล่าให้ฟังคะ
ขอบพระคุณ คุณตั้งฉากเป็นอย่างยิ่งคะ ที่คอยมาแนะนำอยู่เรื่อยๆคะ ดิฉันจะเอาความคืบหน้าต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร มาเล่าสู่ฟังเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณค่ะ
ตอนนี้ รู้สึกว่ามีพลังงาน หรือกระแสไฟฟ้า วิ่งเข้าร่างกายตลอดเวลา เข้าทางฝาเท้าและฝามือ โดยเฉพาะฝาเท้าชัดเจนมากคะ เหมือนกระแสไฟฟ้าวิ้งเข้าอย่างเร็ว จนรู้สึกเท้าชาเลยคะ สัมผัสได้ว่าวิ่งขึ้นไปข้างบน หนักหน่วงอยู่ที่ท้ายทอย ตั้งตาต้นคอถึงท่ายทอยตึงมาก ในขณะเดรียวกันตรงจมูกและหน้าผาดตึงหมุนคะ เป็นตลอดเวลาคะ ยืน นั่ง นอน เป็มหมด
ดีใจมากที่มาเจอข้อความนี้ ในที่สุดก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หลังจากที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้มาเกือบ 2 เดือน ขอบคุณเจ้าของกระทู้และ คุณ nopphakan ด้วยค่ะ
เพียงแวะเข้ามา ก็ได้อาหารจานอร่อยเหาะกลับบ้านละคราวนี้...เพียงอ่านข้อความคุณ nopphakan ก็รู้สึกถึงความเย็นและความมีเมตตาเหมือนกันค่ะ ;k06
เอามาฝาก บทความของฝรั่งหนะ เหตุผลที่คุณ รู้สึกกดดัน ใน หน้าผากของคุณเป็นเพราะ คุณกำลัง กดหนดสมาธิ อยู่ในบริเวณ ที่ไม่ถูกต้อง นั้น คุณกำลัง เพ่ง ในใจมากกว่าที่ หัวใจ คุณ ต้องการที่จะ เล่นเกมแต่โชคร้ายที่ คุณ ได้ไป ที่สนามเด็กเล่นผิดที่ เมื่อ คุณ รู้สึกมีแรงกดดัน ในหัว หรือ หน้าผาก ของคุณในระหว่างการทำสมาธิ ก็หมายความว่า ในใจของคุณ ได้ ดึงลง แสงและ พลังงาน เกินความจุ ของ ประตูไปที่ จิตสำนึกของคุณจะถูก ปิด เพื่อให้คุณ มีความพยายาม ที่จะทำลาย ผ่านเพดาน และดึง พระเจ้า เข้ามาในห้อง ของคุณ ในเวลานั้น พระเจ้าที่น่าสงสารได้เข้ามาในช่องที่ไม่ได้เตรียมไว้ , ไม่สามารถรับรู้ และ ไม่สามารถมองเห็นนิมิตได้ ตามธรรมชาติแล้ว ช่องนั้นจะเกิดการต่อต้าน และจากนั้น คุณจะได้รับ อาการปวดหัว นอกจากนี้คุณยัง อาจจะ รู้สึกกดดัน เพราะ ช่องทาง-ทางใจ(ช่องโล่งในจิต) เต็มไปด้วย ความไม่บริสุทธิ์ของความคิด และแนวคิด แรงเฉือนที่เกิดขึ้น กำลังพยายามที่จะกำจัด ความคิดที่ขาดกำลังศรัทธาเหล่านี้และ อีกครั้ง แรงต้านของจิตใจทำให้คุณ เจ็บปวด ความดันยังหมายถึง ว่ามี อุปสรรคเช่นความกลัว ภายในคุณ เมื่อชองทางใจที่เต็มไปด้วยความคิดอันไม่บริสุทธิ์ และคุณกำลังถอยลงจากความสงบ ความสว่างไสวแห่งจิตและความสบายใจ จะเกิดเป็นความกลัวและตกใจอย่างไม่รู้ตัว คุณไม่ได้คาดคิดว่า สิ่งเหล่านี้จะให้ สิ่งยอดเยี่ยมอันสวยงามและน่าศรัทธาเช่นนั้น ใจของคุณถูกเติมด้วยสรรพสิ่งแห่งของความคิดที่คลุมเคลือและถูกซ่อนเร้นไว้ และเจือปนด้วยความไม่บริสุทธิ์ และทันใดนั้น ความสงบบริสุทธิ์ แสงประทีปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มาถึง จะเหมือนสิ่งแปลกประหลาดหรือคนแปลกหน้าต่อคุณ ดังนั้นคุณจึงต่อต้านมัน เป็นเพราะคุณกำลังขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุด(ขณะที่จิตยังไม่สงบ) และเกิดความรู้สึกกลัว คุณจึงหยุดการเคลื่อนจิตทันที มาหยุดอยู่ที่มันเต้นๆ กลางหน้าผากนั่นแหละ เมื่อคุณรู้สึกถึงแรงดันแบบนี้ สิ่งที่คุณควรทำคือการ เพ่งความสนใจไปที่หัวใจทันที ทำความรู้สึกว่าไม่มีหัวอยู่เลย คุณมีเพียงหัวใจนุ่มนวล อ่อนหวาน รู้สึกถึงความเป็นเอกภาพของพระเจ้า ที่คุณเป็นผู้ขับเคลื่อนภายในจิตของคุณเอง ภายในหัวใจไร้ซึ่งความกลัว หรือไร้ซึ่งแรงต้านทานใดๆต่อความสงล ไม่ว่า คุณจะมีกำลังสมาธิเข้มข้นระดับไหน ไม่ว่า ความสงบ แสงประทีปหรือความศรัทธา คุณจะอัดเข้าสู่หัวใจ ไม่ว่าเท่าใด คุณจะไม่รู้สึกความตึงเครียดหรือแรงดัน อีกต่อไป จะมีเพียง ความสุข ความรักและ ความรู้สึกของความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว (จิตรวมเป็นฌาน) วิธีที่ปลอดภัยที่สุด และ ดีที่สุดที่จะ นั่งสมาธิ อยู่ในหัวใจ แต่ถ้าคุณต้องการ ที่จะใช้ ความคิดแล้วคุณ ต้องพยายามที่จะ ทำให้ใจสงบ มาก เงียบสงบ บริสุทธิ์ และเปิดกว้าง เสมอ รู้สึกว่า ภายในใจ ที่ต้องการ มีช่องว่างนั้น ที่คุณ สามารถขยาย ด้วย ความปรารถนา ที่จริงใจ ของคุณ พยายามที่จะทำให้ช่องบรรจุนั้นมีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อที่จะ สามารถเก็บ ความบริสุทธิ์ มากขึ้นและ สว่าง แต่อย่าพยายามที่จะกำหนดสิ่งใด เพียงแค่ปล่อยให้การไหลเข้าออกแห่งความสงบ เยือกเย็นเป็นไปตามธรรมชาติ และผ่านทางแรงอธิษฐานและ การทำสมาธิ เต็มไปด้วยอารมณ์อย่างที่สุด แล้วคุณจะไม่ รู้สึกกดดัน หรือ ความตึงเครียด ในหัวของคุณ (ฝรั่งพูดถึง การทำวิปัสสนา ในฌาน 4) ที่มา: The reason you feel pressure in your forehead is because you are meditating in the wrong place; you are meditating in the mind rather than the heart, You want to play a game, but unfortunately you have gone to the wrong playing field. When you feel pressure in your head or your forehead during meditation, it means that your mind has pulled down light and power beyond its capacity. The door to your consciousness is closed, so you are trying to break through the ceiling and pull God into your room. At that time, poor God is entering into an unprepared, unreceptive and unillumined vessel. Naturally the vessel resists, and then you get a headache. You may also feel pressure because your mind-vessel is filled with impure thoughts and ideas. By sheer will to you are trying to kill these undivine thoughts, and again the resistance of the mind causes you pain. The pressure can also mean that there is an obstruction such as fear inside you. When the mind-vessel is filled the with impure thoughts and you pull down peace, light and bliss, you unconsciously become frightened. You never expected these things to be so brilliant and divine. Your mind is filled with all kinds of obscure thoughts and impurities, and suddenly divine peace, light and bliss come. At that time they seem like strangers to you, so you resist them. You are driving at top speed and suddenly you feel fear, so you try to stop. When you feel this kind of pressure, what you should do is immediately focus your attention on your heart. Feel that you do not have a head at all; you have only the heart's soft, sweet feeling of oneness with God, your Inner Pilot. In the heart there is no fear or resistance. No matter how intensely you meditate in the heart, no matter how much peace, light and bliss you draw into the heart, you will never feel tension or pressure. There will only be joy, love and a feeling of oneness. The safest and best way to meditate is in the heart. But if you want to use the mind, then you have to try to make the mind very calm, quiet, pure and receptive, Always feel that inside the aspiring mind there is vessel that you can enlarge with your sincere aspiration. Try to make the vessel very large so that it can hold more purity and luminosity. But do not try to pull anything. Only let the divine Grace flow in and through you by praying and meditating most soulfully. Then you will not feel pressure or tension in your head. แปลมา อาจจะดิบๆ ซะหน่อยนะ รีบๆ แปล โดยรวม ขนาดฝรั่ง มันยังรู้ การเข้าหาความ สงบและบริสุทธิ์ ขนาดนี้ เลย มันเก่งจริงๆ มันไม่ใช่ชาวพุทธ มันยังรู้ถึง สมถะขั้นสุดยอด ได้ ปลายทางสมถะเหมือนกัน แต่ เส้นทางขึ้นไม่เหมือนกัน แล้ว เส้นทางที่ผ่านไม่เหมือนกันมานี่ จะทำให้ไปต่อได้ไหมนี่ น่าคิด น่าคิด ได้เน้น keyword ที่สำคัญให้แล้วนะจ๊ะ
คุณ ตั้งฉาก ช่วยขยาย กิริยาของ ตาที่ ๓ กับ จักขุทิพย์หรือตาทิพย์ รวมทั้งความหมายให้ฟังในมุมของคุณเพิ่มเติมหน่อยครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ
.. เหมือนการฝึกของฮินดูโบราณเลยนะคะ การเดินจักระ .. อ่านแล้ว งง .. สงัยไม่มีบุญทางนี้ ... ... แต่ได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องพวกที่เปิดเองโดยธรรมชาติ ... ปกติถ้าแฟนเริ่มมีอาการ .. จะใช้มือซ้ายในการปัด ๆ ลูบ ๆ ตรงต้นคอให้เขา ... ซึ่งคนอื่นลูบจะไม่หายแต่พอเราลูบให้จะหายในเวลาอันสั้น .. ก็แปลกดี .. แต่ตัวเองชอบเป็นที่ส่วนหัวมากกว่า
จักระแฟนไปเปิดดูดวิญญานแบบอัตโนมัตมันก็จะมีอาการทางกาย เพราะธาตุมันเกินสมดุล โดยเฉพาะอาการร้อนๆ ตึงๆ แน่นๆ ส่วนมือที่ลูบแล้วหายเพราะมันมีเชื้อธาตุไฟ ซึ่งไฟมันจะดูดความร้อน ด้วยกันได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ วางนิ่งๆห่างๆแล้วดูดได้ ไว้เจอตัวเป็นๆเมื่อไรจะช่วยดึงพลังงานธาตุไฟขึ้นมาให้ และอาจจะสอนวิธีดูดพลังงานให้เน้อ แต่ขอดูอารมย์ เธออีกเล็กน้อย เด่วทำเป็นกลัวว่าจิไปอาละวาดบ้านข้างๆ ๕๕๕
ขอบพระคุณ คุณตั้งฉาก ที่เอาข้อมูลมาฝากนะคะ ดิฉันจะได้ลองปรับจุดวางจิตใหม่ คือตอนนี้ ก็สามารถกำหนดจิต ที่จุดอื่นได้ดีขึ้นคะ เช่น กำหนดที่หน้าอก ก็จะรู้สึก อาการหมุนๆบริเวณหน้าอกได้ชัดเจน แล้วพอลองเลื่อนไปตำแหน่ง อื่น เช่นบริเวณสะดือ ก็จะรู้สึกหมุนๆ บริเวณสะดือได้คะ แต่ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะไปกำหนดวางจิต ตรงจุดใหน แต่จุดที่ยังรู้สึกเด่นชัดมากๆ ก็คือบริเวณหน้าผากอยู่ดี บางครั้งก็รู้สึกตึงๆ หมุนๆ บริเวณปลายจมูก ควบคู่ไปกับหน้าผาก และท้ายทอย 3จุดนี่มักจะหมุนๆ และตึงหน่วงพร้อมๆกัน หลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ก่อนนอนก็จะกำหนดจิตวางไว้ตรงที่หน้าผากที่รู้สึกหมุนๆ ก่อนนอนทุกครั้ง แต่หลังๆมาก็ปรากฏว่า พอจะเคลิ้มๆหลับที่ไร มักรู้สึกว่ามีพลังงานใหลเข้าสู่ฝาเท้า และฝามือ จนเท้ากระตุ้กแรง ถึงขั้นเท้าลอยขึ้น หมายถึงเท้ากระตุก หรือสะดุ้งอะไรแบบนี้ และที่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นล่าสุดนี้ มีอาการหัวกระตุก ส่ายไปมา ซ้าย-ขวาเวลาจะเคลิ้มหลับ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับดิฉันตอนนี้คือ ปวดข้อตามกระดูก หัวเข่ามาก เวาลานั่งแล้วลุก จะต้องค่อยๆลุก เพราะมีอาการปวดหัวเข่า เวลาขยับตัวทีไร ไม่ว่าจะทำอะไร จะได้ยินเสียงกระดูก ดังแกรกๆๆ ตามข้อเท้า หัวเข่า ตามแขน แบบนี้มันมีผลมาจากการเปิดจักกระด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจคะ
ขออนุญาตแนะนำต่อนะครับ..กรณีที่จักระเท้าและฝ่ามือเรามันเปิดแล้วอย่างนี้ จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มันมักจะหมุมเปิดรับพลังงานงานภายนอกของมัน เองได้เป็นปกติ.ยิ่งที่เท้าถ้าเราไปที่ไหนก็ตาม.ที่มีคลื่นความถี่ต่ำหรือพูดง่าย ว่าพวกที่ยังต้องการกำลังบุญ.ก็จะยิ่งสามารถสัมผัสได้ง่าย.โดยเฉพาะบริเวณหน่อง จะรู้สึกเหมือนๆตึง คล้ายๆจะแสบผิว แต่ว่ามันไม่แสบผิว แต่สังเกตุได้ เบื้องต้นควรฝึกเดินจักระให้ทั่วร่างกายให้ได้ ตามแขนขา ตามแนวกระดูกสัน หลังขึ้นไปถึงศรีษะ เพื่อให้เป็นระบบท่อในการรับและถ่ายเทพลังงานไว้ก่อน และเพื่อให้สามารถที่จะสะสมพลังงานจนถึงขั้นที่จะถ่ายเทออกตามวิธีที่จะ แนะนำต่อไป และเพราะว่าพลังงานแบบนี้มันจะขึ้นมาสูงสุดไม่เกินช่วงท้อง ส่วนที่มือทั้ง ๒ ข้างมันก็จะหมุน ของมันเองได้ปกติเพียงแต่ที่มือจะสามารถใช้รับพลังแสงอาทิตย์เพื่อมาใช้ ในการรักษาหรือเบียดเอาพลังงานส่วนไม่ดีออกได้..ส่วนตอนกลางคืนจาก ดวงจันทร์ก็จะสามารถใช้รับเพื่อมาเสริมเรื่องของการทำสมาธิซึ่งจะส่งผลให้ จิตใจเราสงบได้ดียิ่งขึ้น.. และถ้าเรารับบ่อยๆไม่รู้จักถ่ายเท ก็จะเกิดผลข้างเคียงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ วิธีการตอนนี้ คือ ให้ไปเหยียบหญ้าด้วยเท้าเปล่า แล้วสบัดแขนออกไปข้างตัว ทำความรู้สึกโดยกำหนดว่าให้จิตเราไปอยู่ที่ปลายนิ้วทั้ง ๑๐ ในช่วงที่สบัดนี้ ให้กลั้นหายใจและเกรงใต้ท้องไว้ด้วย แล้วกางแขนทั้ง ๒ ข้างออกในระดับเสมอหัวไหล่ .แล้วถึงหายใจปกติ..และก็กำหนดในใจ ว่าขอให้พลังงานส่วนเกินที่จะทำอันตรายกับร่างกายเราทั้งหมดจงออกไป.. จะมีความรู้สึกติ๊ดๆๆๆ คล้ายเข็มจิ้มวิ่งไปที่ปลายนิ้วทั้ง ๑๐ และที่ส่วนขาจะเป็น พลังงานคล้ายๆลมค่อยๆวิ่งวนลงไปที่พื้นดิน.จนกระทั่งเราจะรู้สึกว่าเท้าของเรา เรียบเป็นแผ่นเดียวกันกับดิน..ให้ทำอย่างนี้ไปจนกระทั่งเรารู้สึกว่า ที่จิ๊ดๆและหมุน ตรงหน่องมันหมดไป..ช่วงนี้อาจจะมีความรู้สึกจิ๊ดๆที่ศรีษะหรือตามแขนถือว่าปกติ ถ้าสายตาเราดี เราจะสังเหตุเห็นคลื่นพลังงานเป็นคล้ายๆหัวหอมได้ที่ปลายนิ้ว และอาจเห็นเป็นคลื่นๆต่างๆขึ้นตามลำตัวได้.. แรกๆทำอย่าตกใจนะคับ อาจเป็นสีดำเลย นั่นเพราะพลังงานตกค้างเรามันเยอะ ถ้าตายังเห็น.จะเห็นเป็น สีขาวๆก่อน แล้วพัฒนามาเป็นสีใสๆ ถือว่าใช้ได้ครับ และควรทำอย่างที่บอกนี้ให้เป็นปกตินิสัยประจำครับ..ถ้ารู้สึกตึงๆศรีษะ ผิวหนัง แน่นๆตึงเกินไป หรือกระทั่งปวดศรีษะแบบแน่นๆ. พวกอาการกระตุ๊ก ในช่วงระหว่างเคลิ้มๆ เป็นผลของการข้ามช่วงระหว่างคลื่น แบบพรวดพราด.ซึ่งถือว่าเป็นปกติครับ..เพราะคลื่นช่วงที่เคลิ้มๆมันจะมีช่วงกว้าง คือ ๓ - ๗ Hz ลดมาช่วง ๑ - ๓ Hz แล้วข้ามไปยัง ๗ - ๑๑ Hz ผลก็คือร่างกายกระตุ๊กนั่นหละครับ..แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการลงกราวน์.. คือการนอนคว่ำกับพื้นแล้วกำหนดให้ออกตรงระหว่างคิ้วครับ.. ปล.ลองดูนะครับว่าทำได้หรือไม่ ตามแต่สดวก..
คุณนิวการสั่น (Vibration) เป็น ความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ สรรพสิ่งล้วนเป็นความสั่นของคลื่นทั้งสิ้น การสั่นของคลื่น เป็นกุญแจของการสร้างจิตที่หลุดพ้น หากอยากเข้าถึงปัญญา ก็ต้องหมั่น "ภาวนา" เพราะการภาวนาเป็นการปรับการสั่นของคลื่น ให้สอดคล้องกับพระผู้เป็นเจ้า (การสั่น การปรับคลื่น จูนคลื่น เพื่อเข้าสู่ความถี่ความถี่หนึ่ง ที่ยังเข้าไม่ถึง และไม่สามารถมองเห็น) คุณนิว คุณเห็นการโอบพลังแยกออกเป็นสองเส้นไข้วโอบขึ้นไปแต่ละ จักระแต่ละจุดยังคับ ข้อห้าม อย่าเดินพลังเป็นเส้นตรง จะทำให้พลังรั่ว เพราะคุณนิวจะควบคุมพลังไม่ได้ ผลที่ตามมาร่างกายจะกระตุก สั่นเหมือนเข้าทรง วิธีแก้อาการสั่น หายใจออกแรง ๆขับเคลื่อนเอาลมเก่าออกให้หมด แล้วอัดลมหายใจใหม่เข้าไปยาว ๆให้ลมเดินไปให้ถึงท้องน้อย เท่านี้ อาการทั้งหมดก็จะหายไป ที่ตั้งของจักระ จักระเบื้องต้น ฝ่ามือฝ่าเท้า ส่วนฝ่ามือซ้ายและขวา เป็นตัวควบคุมและทักทอเส้นสายสนามพลังซึ่งมีอิทธิพลต่อการทำงานของจักระและพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายให้เชื่อมต่อกับระบบและจักรวาล รวมถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่รอบร่างกาย โดยเริ่มที่ฝ่ามือซ้าย ด้วยการงอนิ้วกลางและนิ้วนางทำการขยับแบบต่อเนื่อง เพื่อให้สมองส่วนหน้ามีการสั่นสะเทือนทำการดูดซับพลังงานให้กับร่างกายและจิต อันมีเส้นสายเชื่อมต่อตั้งแต่หัวจรดเท้า มีกลไกแขนและฝ่ามือควมคุมการไหลเวียนของพลังให้เลื่อนไหลทั่วร่างกาย นำมาสร้างและพัฒนา จิต สติ สมาธิ ฌาน อำนาจจิต รวมถึงจิตวิญญาณและจักระ ส่วนฝ่ามือขวา ใช้นิ้วแต่ละนิ้วควบคุมเส้นสายในขณะที่ทักทอ เป็นการรวมเส้นสายสร้างเสริมอำนาจพลังให้แข็งแกร่ง ด้วยการกรีดนิ้วแต่ละนิ้วและดึงเส้นสายที่จักระและขับเคลื่อนพลังผ่านแนวกระดูกสันหลัง ซึ่งนิ้วแต่ละนิ้วเป็นตัวแทนของจักระ จักระหนึ่งตั้งอยู่ที่ข้อมือ จักระสองตั้งอยู่หัวแม่มือ จักระสามตั้งอยู่ที่นิ้งกลาง จักระสี่ตั้งอยู่ที่นิ้วก้อย จักระห้าตั้งอยู่ที่นิ้วชี้ จักระหกตั้งอยู่ที่นิ้วนาง จักระเจ็ดตั้งอยู่ที่อุ้งมือ
อาการเจ็บปวดคือ ทุกขเวทนา ที่คุณจะต้องผ่าน โดยการนั่งข้ามทุกขเวทนา จนอาการเจ็บปวดนั้นหายไป ตามกฏจักรวาล เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การพิจารณาอาการอย่างนี้ ไม่ใช่สมถะกรรมฐาน แต่เป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเตรียมการณ์ไปสู่ความหลุดพ้น จากเวทนาในจิต เมื่อละเวทนาในจิตได้แล้ว ต่อให้มีเวทนาในขันธ์ห้า คือร่างกาย จิตก็ไม่ทุกข์ ปล่อยให้เป็นเรื่องของขันธุ์ห้าไป เพราะขันธ์ห้าไม่มีใน เรา ในที่นี้เป็นตัวแทนปัญญาที่เห็น ในเราไม่ขันธ์ห้า แล้วจิตจะไปเอาความ เจ็บปวดมาจากที่ใด หากยังตัดขันธ์ห้าไม่ขาด ก็จะมีทุกข์มีโทษมาจาก ทุกทิศ ทุกทาง
คุณ nongnewinbkk ครับเลื่อนได้แล้ว ต่อไปก็...ทำให้นิมิตนี้หยุดหมุน ทำให้เลื่อนได้แล้ว คงทำให้หยุดหมุนได้นะแหละครับ สำหรับเรื่องนี้ อย่าไปต่อความยาวเลยครับ มันจะไปกันใหญ่ คนที่ไม่ได้ทราบและไม่มีประสบการณ์จะหลงทางและเข้าใจผิด คุณนิวจะได้แค่คนเดียว คนอื่นเขาจะเสียหายนะครับ
คุณศรี เคยสังเกตเห็นพวก จามรทวีป เขาควบคุมความถี่ในการสั่นในระดับที่มีความถี่สูงมากๆ ถึงมากที่สุด อย่างที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำได้อย่างนี้ แล้วยังทำให้เกิดพลังงานโน้มถ่วงในระดับที่สูงมาก จนทำให้คิดว่าเพราะอย่างนี้นี่เอง พวกจามรทวีป ถึงได้มีวิทยาการที่ควบคุมแรงโน้มถ่วงได้อย่างสบายๆ การควบคุมการรับและถ่ายเทพลังงาน ก็สามารถควบคุมได้อย่างละเอียด แม่นยำอย่างน่าทึ่ง แม้จะทำในระดับการรับและถ่ายเทพลังงานระหว่างจุดจักระในแต่ละตำแหน่งในปริมาณที่น้อยมากๆ ก็ควบคุมได้ดังใจอย่างแม่นยำ เท่าที่สังเกต เขาใช้จิตในการควบคุมเรื่องพวกนี้อยู่ โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมใดๆ แสดงว่าจิตของพวกนี้ มีกำลังอย่างมหาศาลจริงๆ เรื่องพวกนี้ ไม่เคยเห็นในวิถีจักระของพวกแอตแลนติสโบราณ ในชมพูทวีปของเรา สงสัยว่าแนวทางการเดินจักระของพวกแอตแลนติสโบราณ ในชมพูทวีปของเรา กับแนวทางวิถีจักระของพวกจามรทวีป จะเป็นสายของวิทยาการที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหรือไม่? หรือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด? ขอ คุณศรี ช่วยให้ความเห็นประกอบต่อไปดัวย จะขอขอบคุณอย่างยิ่ง