เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อเช้ามืดท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า มีบุคคลเมายาบ้าแล้วก็เดินเข้ามาภายในวัด เพียงแต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วมีอะไรผิดปกติ หมาเห่าขนาดนั้นก็ไม่คิดที่จะออกไปดู กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องออกไปเอง..!

    แต่คราวนี้ออกไปแล้วก็จัดการอะไรไม่ได้ เพราะบุคคลที่เมายาบ้าบอกว่า "จะมาไหว้พระอาจารย์เล็ก..!" แถมยังหอบดอกไม้มาหอบหนึ่งด้วย ในเมื่อรับดอกไม้จากเขา ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับเขาต่อไป เห็นท่านศักดิ์ (พระจิรายุ ชุติปญฺโญ) เดินตามอยู่ ก็เลยกระซิบบอกว่า "ช่วยหาที่นอนให้มันหน่อย..!" ท่านศักดิ์ก็ดันไม่กล้าเสียอีก ถ้ากระผม/อาตมภาพไม่ได้เป็นคนรับดอกไม้จากมือ ก็คงจะหลับอยู่ตรงนั้นแหละ..! รับของจากเขาแล้วยังจะไปซ้ำเติมเขาก็คงจะไม่ใช่

    คราวนี้พอไปบิณฑบาต ปรากฏว่าเจ้านี่ไปเดินเกะกะอยู่ในตลาด มีโยมเล่าให้ฟังว่าเมายาบ้ามาตั้งแต่เมื่อวาน ตีลูกตีเมีย จะเผาบ้านด้วย จนตำรวจต้องเอาลูกไปพักอยู่ที่หอพักโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ที่กระผม/อาตมภาพสร้างให้ทางโรงเรียน ได้ยินแล้วก็งง ๆ ว่าข่าวนี้ถูกต้องหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าถ้าเมายาบ้าอาละวาดขนาดนั้น ทำไมตำรวจไม่เอาไปสงบสติอารมณ์ในกรงเสียเลย..!

    ก็เลยทำให้มาคิดว่า ในเรื่องของยาเสพติดต่าง ๆ มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนเอง ครอบครัว และสังคมอย่างประมาณไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มีศีล ๕ ให้เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ซึ่งในสมัยนั้นมีเพียงเท่านั้น ก็เลยมีบรรดาบุคคลที่ใช้ความฉลาดในทางที่ผิด อ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามยาเสพติดชนิดอื่นแล้วก็ไปเสพ โดยที่ลืมคิดถึงมหาปเทส ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้ในการตัดสินพระธรรมวินัยว่า "สิ่งใดไม่สมควร พิจารณาแล้วไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร"

    เรื่องของยาเสพติดนั้นเป็นตัวทำลายประเทศชาติที่ร้ายกาจมาก เพราะว่าทำให้ผู้คนไม่มีโอกาสจะได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนไปทำมาหากิน พัฒนาประเทศชาติ หากแต่ว่าติดอยู่กับยาเสพติดแล้วก็วนเวียนอยู่แค่นั้น ไม่ได้ไปไหน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    แบบเดียวกับตอนที่ท่านอาจารย์สมพงษ์ (พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต) เป็นเจ้าอาวาสท่าขนุนอยู่ กระผม/อาตมภาพเองมาช่วยสร้างวัด ดันมีผู้หวังดีปรารถนาดี หรือว่าตำรวจเขาแจ้งข้อสังเกตเองก็ไม่รู้ ? ว่ากระผม/อาตมภาพมีเงินทองมากมาย บูรณะวัดไป ๔ - ๕ วัดแล้ว น่าจะขายยาบ้าถึงมีเงินขนาดนี้..! กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้ ช่วงนั้นก็เป็นแค่รองเจ้าอาวาสที่วัดท่าขนุน บทบาทหน้าที่ทุกอย่างก็ต้องยกให้ท่านอาจารย์สมพงษ์ไป ตนเองก็มีหน้าที่แค่พัฒนาวัดเท่านั้น

    ปรากฏว่ามีตำรวจสันติบาลมากราบ แล้วก็สารภาพว่า "ผมติดตามหลวงพ่ออยู่เป็นปี เพราะมีคนแจ้งว่าหลวงพ่อขายยาบ้าถึงได้มีเงินมาสร้างวัด ขอยืนยันว่าหลวงพ่อไม่ได้มีความประพฤติทางด้านนี้ เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ติดตามมา ไม่เคยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาข้องเกี่ยวเสวนาด้วยเลย แต่ว่าพระรูปนั้น สามเณรรูปนั้น มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ขอให้จัดการให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นแล้วกระผมคงจะต้องจับกุม แล้วจะทำให้เสียหายถึงวัด"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องไปเจรจากับพระและเณรรูปนั้น ว่าถ้าต้องการจะสึกก็จะช่วยสึกให้ ถ้าไม่ต้องการสึกจะย้ายก็ให้รีบบอก จะได้ให้เจ้าอาวาสท่านทำเรื่องย้าย ปัญหาถึงได้จบลงไป

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ในระยะนี้ก็มีข่าวคราวที่พระภิกษุเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นปกติ ส่วนหนึ่งก็คือด้วยความที่พระภิกษุสามเณรเป็นวัยรุ่น อยากรู้อยากลอง อีกส่วนหนึ่งก็คือเคยเสพมาก่อนในสมัยเป็นฆราวาส พอบวชเข้ามาก็ยังอยู่ในพื้นที่ ก็คือบ้านตนเองอยู่ใกล้วัด บรรดาคอเดิม ๆ ก็คงไปมาหาสู่เป็นปกติ แล้วท้ายที่สุดก็พาเอาพระเณรกลับไปเสพยาเสพติดเหมือนเดิม ล่าสุดนี่เขาไปตรวจที่วัดแห่งหนึ่ง มีพระภิกษุสามเณรทั้งหมด ๘ รูป ปรากฏว่านอกจากเจ้าอาวาสกับหลวงตา ๒ รูปแล้ว ที่เหลือติดยา ปัสสาวะเป็นสีม่วงทั้งหมด..!

    ความจริงในเรื่องของยาเสพติดนั้น กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตนเองเป็นอะไร ? ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ไม่อยากลอง แต่ลองแล้วไม่สำเร็จสักอย่าง อย่างแรก ๆ เลยที่อยากลองก็คือ เห็นผู้ใหญ่กินเหล้ากันแล้วสนุกสนานมาก ร้องรำทำเพลง ถึงเวลาเมาหัวทิ่ม โดยเฉพาะพี่ชายคนโต กระผม/อาตมภาพก็ต้องเอาจักรยานไปรับกลับบ้าน นั่งจักรยานมาได้ไม่ไกลก็ร่วงลงไปกองกับพื้น..! ก็ต้องจอดตั้งจักรยานให้เรียบร้อย ไปพยุงขึ้นมาใหม่ ปั่นจักรยานต่อไปได้ไม่ไกลก็ร่วงลงไปอีกแล้ว..! กว่าจะกลับถึงบ้านก็ทุลักทุเล เกิดความรู้สึกว่าถ้ากินเหล้าแล้วสนุกขนาดนี้ก็น่าจะลองดูบ้าง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    คราวนี้ด้วยความที่เป็นครอบครัวคนจีน ทุกวันพระของจีนเขาจะมีการถวายเหล้าถวายน้ำชาที่บริเวณศาลเจ้าที่ ภาษาจีนเขาเรียก "ตี่จู้เอี๊ย" ปรากฏว่าแอบ ๆ แม่ไป กะว่าจะลองแทนเจ้าสักถ้วยหนึ่ง แค่ได้กลิ่นเหล้าก็หงายท้องแล้ว..! ยังสงสัยอยู่ว่า "ของแบบนี้กินได้ด้วยหรือวะ ?"

    พอไปเล่าให้พรรคพวกเพื่อนฝูงที่โรงเรียนฟัง เพื่อนบอกว่า "เบียร์ดีกว่า แรงน้อยกว่าเหล้า กินแล้วไม่เสียสุขภาพด้วย" นั่น..ว่าไปยันโน่น..! ท้ายที่สุดเพื่อนก็แอบเอามาให้ พอเปิดฝาได้กลิ่นเท่านั้นเอง เกิดความรู้สึกว่า "คนเรากินของเน่า ๆ แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือวะ ?" เพราะว่าสมัยนั้นยังต้องถักแหถักอวนเพื่อเอาไว้หาปลา ถึงเวลาก็ต้องไปถากเปลือกต้นไม้มาต้มเพื่อย้อมแหย้อมอวน อาศัยยางไม้ช่วยเคลือบให้แหอวนไม่เปื่อยง่าย พอถึงเวลาเขาทิ้งน้ำต้มเปลือกไม้ไว้ ๔ วัน ๕ วัน ฟองขึ้นฟอดเลย กลิ่นบูดได้กลิ่นไปไกล ๆ สรุปว่ากลิ่นเบียร์ก็บูดพอกันนั่นแหละ..!

    ในเมื่อเหล้าก็ไม่ได้ เบียร์ก็ไม่ได้ ก็หันมาลองบุหรี่ดู สมัยนั้นบุหรี่มีแค่ ๒ ยี่ห้อ ก็คือตรารวงข้าวกับตราพระจันทร์ แอบขโมยของพ่อมาตัวหนึ่ง อุตส่าห์มุดไปอยู่ใต้พุ่มไม้ ปรากฏว่าสูบเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งมวน เมาน้ำลายยืด น้ำลายเหนียวขนาดบ้วนไม่ขาดเลย..! ก็เลยเข็ด สรุปว่าพยายามทำแล้วแต่ไม่สำเร็จสักอย่าง

    เมื่อมาทำงานในช่วงวัยรุ่น พี่ชายซ่อมสีรถก็ไปฝึกหัด ถึงเวลาพ่นสีรถ แต่ละคันใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่งแล้วสิ่งที่ใช้ผสมสีรถก็คือทินเนอร์ ซึ่งจะมีบรรดาเด็กวัยรุ่นในซอยมาขอซื้อเป็นประจำ พอถึงเวลาก็มาสะกิด "พี่ ๆ ขอซื้อทินเนอร์ ๒ บาท" ส่งสำลีมาให้ก้อนหนึ่ง ให้ช่วยชุบทินเนอร์ให้ด้วย

    พอหลาย ๆ ครั้งก็รำคาญ บอก "กูให้มึงขวดหนึ่งเลย จะได้ไม่ต้องมาบ่อย ๆ" มันบอกว่า "ไม่ได้พี่..เดี๋ยวอดใจไม่ได้ถึงตาย..!" เสือกกลัวตายอีก..! แล้วมันก็ติดเสียผู้เสียคนกันขนาดเรียนหนังสือไม่ได้ แต่กระผม/อาตมภาพพ่นสีรถ อย่างน้อย ๆ ครั้งละ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เมาหัวทิ่ม น้ำลายยืดเป็นประจำ ก็ไม่เห็นอยากจะติดอะไร เป็นไปได้อยากจะเลี่ยงไม่ทำงานตรงนี้มากกว่า ก็เลยสงสัยว่า "ตกลงว่าพวกมึงติดอะไรกันวะ ?!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,837
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +26,414
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกว่า ในเรื่องของสุรายาเสพติดอะไรต่าง ๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะสร้างบุญเดิมมาจนกระทั่งทำชั่วไม่ได้ ก็น่าจะเกิดจากกำลังใจที่ฝึกฝนมาจนเข้มแข็งกว่า เนื่องเพราะว่าปฏิบัติกรรมฐานมาตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี กว่าที่จะไปทำงานก็ปฏิบัติธรรมมา ๓ - ๔ ปีแล้ว ก็น่าจะเป็นเหตุให้ว่ามีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ไปติดกับสิ่งเสพติดทั้งหลายเหล่านี้

    แล้วอีกอย่างหนึ่ง เมื่อพ่อแม่บอกว่าอะไรไม่ดีก็เชื่อ แล้วก็ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย จึงเกิดความสงสัยมาจนปัจจุบันนี้ว่า "ตกลงว่าพวกที่ติดสุรายาเสพติดอะไรต่าง ๆ เขาติดอะไรกันแน่ ?" ถ้าเจออย่างโกวเล้ง เขาก็บอกว่า "ไม่ได้ชอบสุรา แต่ชอบบรรยากาศในวงสุรา" ฟังแล้วก็มีข้ออ้างให้กิน..!

    แต่พวกเราเองที่ต้องมาระมัดระวังกัน เนื่องเพราะว่าเรื่องของยาเสพติดนั้น พาให้คนลักเล็กขโมยน้อย ของใหญ่ไม่เอา ของแพงไม่เอา พวกนี้เอาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น พอให้มีเงินไปซื้อยามาเสพ เพราะฉะนั้น..แต่ละวัด กระถางธูป เชิงเทียน แจกัน ถ้าหากว่าเป็นทองเหลือง รับประกันได้ว่าทิ้งเอาไว้เป็นหายหมด..!

    นอกจากต้องระมัดระวังแล้ว ในส่วนของอันตรายอื่น ๆ อย่างเช่นว่าถ้าเขาเมาแล้วครองสติไม่ได้ อาจจะมีการอาละวาดแล้วมาทำร้ายคนในวัด กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ถ้ามีเข้ามา พยายามหาที่นอนให้มันเลย ไม่ต้องไปเกรงใจ แต่เห็นเวรยามของเราบางคนก็พกซามูไรยาวเป็นเมตร..! ถ้าลักษณะอย่างนั้นเดี๋ยวจะเดือดร้อน เพราะกลายเป็นว่าทำร้ายร่างกายคนอื่นถึงบาดเจ็บสาหัส..!

    ส่วนใหญ่แล้วที่กระผม/อาตมภาพถนัดก็มักจะเป็นไม้ยาวสัก ๒ ศอกก็พอ ถึงเวลาอย่าตี ถ้าหากว่าสติดี ๆ ด้วยกัน แล้วเป็นคนที่เคยฝึกการต่อสู้มา การตีนั้นหลบง่าย ให้ใช้จับสองมือแล้วแทงแทน ถ้าหากว่าเคยฝึกมาบ้าง กระแทกเข้าไปที่ลิ้นปี่ทีเดียวก็กองอยู่กับพื้นแล้ว เรื่องของการใช้อาวุธในลักษณะแทง ก็คล้าย ๆ กับการถีบของมวยไทย เป็นสิ่งที่หลบได้ยากมาก ถ้าไม่เคยฝึกการต่อสู้มาเราจะไม่รู้เลยว่าหลบอย่างไร ?

    เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใช้ไม้ในลักษณะอย่างนั้นก็ไม่ถือว่าทำอะไรรุนแรงเกินเหตุด้วย หรือถ้าหากว่าฝึกการต่อสู้มือเปล่ามาก็เรียบร้อย ไม่ต้องเสียเวลามาใช้อาวุธ แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าหากว่าเขาไปแจ้งความว่าทำร้ายร่างกาย
    กระผม/อาตมภาพจะไปประกันตัวให้เอง เพราะว่าเขาเข้ามาภายในวัดถือว่าบุกรุก แล้วก็อยู่ในลักษณะที่อาจจะก่อให้เกิดอันตราย เราสามารถที่จะให้การได้ว่าป้องกันตัว

    เรื่องพวกนี้บางทีมันก็จะเลยเถิดไปเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไปใช้อาวุธในลักษณะทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส แล้วส่วนที่ต้องระวังก็คือคนเมา ถ้ามือหนัก ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพก็อาจจะถึงตาย เพราะฉะนั้น..ต้องมองเป้าให้ดี ๆ หน่อยว่าโดนตรงไหนมั่นใจว่าไม่ตายแล้วค่อยลงมือ..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...