เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 กันยายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าแม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งโดยปกติแล้ว สำหรับพระภิกษุสามเณรของเรา วันเสาร์วันอาทิตย์หรือว่าวันหยุดราชการ ก็มักจะมีญาติโยมนิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์บ้าง ไปสวดพระพุทธมนต์บ้าง แล้วแต่ว่าจะเป็นงานมงคลหรือว่างานอวมงคล

    แต่ทุกท่านก็เห็นว่า แม้แต่เป็นวันอาทิตย์ กระผม/อาตมภาพก็ยังต้องไปงานประชุมอบรมพระนวกะ ของคณะสงฆ์อำเภอด่านมะขามเตี้ยก่อน เนื่องเพราะว่าการประชุมอบรมพระนวกะของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีนั้น แต่ละอำเภอได้รับการกำหนดเป็นวันขึ้นแรมตายตัวในแต่ละปี ทุกปีก็จะตรงกับวันขึ้นแรมเดิม เมื่อตรงกับเสาร์อาทิตย์ทุกคนก็ต้องเสียสละ ไม่ใช่ว่าไปออกกิจนิมนต์แล้วก็ไม่ไปงานหลวง คณะสงฆ์ของเราต้องเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วยังไม่พอ ยังมีภาระหน้าที่ในการส่งเสริมและรักษาพระพุทธศาสนาของเราอีกด้วย

    เมื่อคืนกระผม/อาตมภาพได้ร่วมประชุมผ่านระบบ ZOOM Meeting Online กับทีมงานธรรมนาวาวัง ปรากฏว่าประธานในที่ประชุมก็คือท่านเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเราก็ไม่คาดคิดว่า ท่านจะมาเป็นประธานในงานประชุมเอง เนื่องเพราะว่าทีมงานข้าราชบริพารต่าง ๆ ที่รับผิดชอบงานอยู่นั้นก็มีมากมาย และยศตำแหน่งก็เพียงพอที่จะรับภาระได้ทั้งสิ้น

    แต่ว่าท่านเจ้าคุณพระฯ ได้นำเอาความห่วงใยในพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาบอกกล่าวแก่พระที่เข้าประชุมทุกรูป ก็คือว่าวัตถุประสงค์ของกลุ่มธรรมนาวาวัง ก็คือ

    อันดับแรก ให้พุทธศาสนิกชนยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าปัจจุบันนี้พุทธศาสนิกชนของเราออกไป "สายมู" เสียจนจะกู่ไม่กลับอยู่แล้ว

    ประการที่สองก็คือ ให้ปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏตามพระไตรปิฎก เนื่องเพราะว่ามีคำสอนผิด ๆ เพี้ยน ๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก จะทำความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาของเรา

    ประการต่อไปก็คือ เมื่อปฏิบัติได้ผลแล้ว ให้นำไปบอกกล่าวหรือว่าสั่งสอนคนอื่นต่อไป เพื่อที่จะยังพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญมั่นคงอีกวาระหนึ่ง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    ในสถานการณ์แบบนี้ทุกท่านก็เห็นอยู่แล้วว่า พระพุทธศาสนาของเราที่ตกต่ำนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรของเราเอง ก็คือหลงทางไปศึกษาเล่าเรียน โดยที่ไม่ได้นำเอาผลการศึกษานั้นมาปฏิบัติให้เกิดผล เพียงแต่ว่าเมื่อหลงไปศึกษาเล่าเรียนแล้ว ก็ยังหลงในการเรียนนั้นอีกด้วย กลายเป็นอลคัททูปมปริยัติ ก็คือเรียนเหมือนการจับงูข้างหาง มีแต่จะพาให้ตนเองบาดเจ็บล้มตายโดยง่าย..!

    ถ้าหากว่าเรียนโดยที่ไม่ได้คิดจะปฏิบัติธรรม อย่างน้อยก็ต้องเป็นภัณฑาคาริกปริยัติ ก็คือศึกษาเรียนรู้ เก็บเอาไว้ในลักษณะเหมือนอย่างกับห้องสมุดบรรจุความรู้ พร้อมที่จะถ่ายทอดต่อให้กับบุคคลที่สนใจได้

    คราวนี้ในเมื่อพุทธศาสนิกชนของเราซึ่งประกอบเป็นพุทธบริษัท ๔ ซึ่งปัจจุบันมีพระสงฆ์เป็นหลัก นอกจากจะแบ่งแยกออกเป็นหลายนิกายแล้ว ยังแบ่งแยกเป็นหลายสายการปฏิบัติ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัยด้วยการตีความเอาตามใจของตนเองอีก จึงเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาของเราตกต่ำไปมาก

    เนื่องเพราะว่าสายตาของคนนอกที่มองเข้ามา เห็นว่าพระภิกษุสามเณรของเราเป็นกาฝากสังคม เอาแต่กินแล้วก็นอน บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ภาษีไม่ต้องเสีย สร้างความกังวลให้แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนพระองค์ท่านต้องออกมา พูดง่าย ๆ ว่าชี้นำ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรของเรากลับเข้าสู่ร่องสู่รอยที่ถูกต้อง แล้วนำพาญาติโยมยึดถือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องนำชีวิต

    พระองค์ท่านหวังถึงขนาดว่า พระเราจะช่วยสั่งสอนทุกคนให้รู้วิธีแก้ไขตนเองให้พ้นจากกองทุกข์ กระผม/อาตมภาพยังไม่กล้าตั้งความหวังขนาดนั้นเลย ท่านทั้งหลายจะได้ยินกระผม/อาตมภาพปรารภว่า "เมื่อพวกท่านบวชเข้ามาแล้ว ก็เอาแค่ให้ชาวบ้านไหว้ได้เต็มมือก็พอ" ไม่ได้ตั้งความหวังมากกว่านี้อีก แต่ด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็คือพระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนภูเขาพระสุเมรุ กำลังใจของพวกเราอย่างดีก็แค่เมล็ดผักกาด..!

    ในเมื่อพระองค์ท่านตั้งความหวังเอาไว้ถึงระดับนั้น พวกเราก็มีหน้าที่จะต้องสนองให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ก็คือต้องเข้มงวดฝึกฝนตนเองให้หนักเข้าไว้ ต่อให้ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องไม่เป็นภาระกับคนอื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เป็นตัวถ่วงหรือตัวทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,415
    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรอย่างยิ่ง ในตอนแรกก็เน้นของง่ายก่อน ก็คือการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี แผนกธรรม และปริยัติสามัญ ด้วยการพระราชทานทั้งเครื่องเขียน ทั้งภัตตาหาร และงบประมาณสนับสนุนการเรียนตามโครงการทุนเล่าเรียนหลวง แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ก็คือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปัจจุบันนี้พระองค์ท่านก็ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณรที่เข้าเรียนอยู่ทุกวัน

    ตอนนี้พระองค์ท่านหันมาเน้นในเรื่องของการปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีกด้านหนึ่ง เราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า การพัฒนาตัวของเราเองนั้น อันดับแรกเลยต้องเรียนรู้พระปริยัติธรรมก่อน เพื่อจะได้มีแผนที่หรือแนวทางในการเดินที่ถูกต้อง ก็คือต้องไม่หลุดจากกรอบของพระไตรปิฎก

    ประการที่สอง เมื่อเรียนรู้มั่นคงแล้ว มั่นใจว่าถูกต้องแล้ว ก็นำมาประพฤติปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนเอง เมื่อเกิดผลเป็นปฏิเวธ ก็คือผลนั้นส่งผลในด้านดีให้แก่เราโดยส่วนเดียวแล้ว จัดเป็นอัตตัตถะ ก็คือประโยชน์เฉพาะตน เมื่อเรายืนหยัดได้มั่นคงแล้วก็ต้องช่วยเหลือคนอื่นด้วย

    ในปัจจุบันนี้ พระภิกษุสามเณรของเรากำลังช่วยในเรื่องของน้ำท่วมอยู่ โดยที่คนรู้น้อยมากว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขับเครื่องบินซี ๑๓๐ บรรทุกถุงยังชีพ ๕,๐๐๐ ชุดไปส่งที่ภาคเหนือด้วยพระองค์เอง แล้วยังมอบเงินส่วนพระองค์ ๒๔๐ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมทั้ง ๗ จังหวัด ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนักข่าวไปทำข่าวอะไร ? ไปทำข่าวดาราคนโน้นเตียงหัก ดาราคนนี้มีผัวใหม่ กูจะบ้า..!

    เราจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งทหารก็ตาม กลายเป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน แต่นั่นเป็นการช่วยทางกาย แก้ไขความทุกข์ทางกาย พระองค์ท่านตั้งความหวังสูงสุดไว้ ถึงขนาดแก้ไขความทุกข์ทางใจของพสนิกรด้วย

    ดังนั้น..การที่กระผม/อาตมภาพต้องสละวันหยุด เพื่อที่จะไปช่วยงานคณะสงฆ์ จึงเป็นแค่จุดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การมองเลยด้วยซ้ำไป เมื่อเปรียบเทียบกับพระราชประสงค์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งหวังจะพาพสกนิกรชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา ให้ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งก่อให้เกิดประโยชน์เฉพาะตน แล้วสามารถนำตนให้พ้นจากกองทุกข์ได้

    จึงขอฝากไว้เป็นภาระของเราท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาส ก็คือถ้าช่วยอะไรไม่ได้อย่าทำตัวเป็นตัวถ่วง ทำตัวเป็นตัวถ่วงก็ยังพอทน แต่อย่าทำตนเป็นมอดเป็นปลวกคอยกัดแทะพระพุทธศาสนาของเราให้เสียหาย ถ้าลักษณะอย่างนั้นอีกไม่นานท่านทั้งหลายจะโดนระบบกำจัดออกไป เหมือนอย่างกับทะเลที่ซัดเอาสิ่งโสโครกขึ้นสู่ฝั่งตามธรรมชาติไปเอง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...